วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย
การกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ทุกประเทศจะมีเป้าหมายคล้ายกัน คือ การรักษาและเพิ่มพูนผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งได้แก่ เอกราช ความมั่นคง
ความเจริญรุ่งเรือง และเกียรติภูมิของชาติ สำหรับการกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยนั้น อยู่ภายใต้องค์ประกอบต่าง ๆ โดยแบ่งการกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยเป็น 2 ช่วง ดังนี้

นโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา เป็นผลจากการกดดันของปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งมีอิทธิพลต่อประเทศไทย ในขณะที่ปัจจัยภายใน เช่น สถาบันสภา ปัญญาชน และสื่อมวลชน มีความสำคัญมากขึ้นทำให้รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายบางอย่างเพื่อสนองความต้องการของกลุ่มชนภายในประเทศ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในระบอบประชาธิปไตย มีลักษณะต่อเนื่องจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย ประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. ปัจจัยภายนอกประเทศ ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบาย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในระบอบประชาธิปไตยมากที่สุด มีดังนี้
1) องค์การสันนิบาตชาติ ก่อนที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย องค์การสันนิบาตชาติไม่สามารถทำหน้าที่ในการรักษาเอกราชทางการเมืองและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศสมาชิก คือ จีนซึ่งถูกญี่ปุ่นรุกรานและยึดครองแมนจูเรียปี พ.ศ. 2474 ได้ ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติในวิกฤตการณ์แมนจูเรียนี้มีสาเหตุมาจากชาติมหาอำนาจ คือ อังกฤษและฝรั่งเศสไม่สนับสนุนให้องค์การสันนิบาตชาติลงโทษและหยุดยั้งการขยายอิทธิพลของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย เนื่องจากต้องการให้ญี่ปุ่นขยายดินแดนไปทางเหนือของเอเชีย เพื่อว่าญี่ปุ่นจะได้ไม่สนใจลงไปทางใต้ของเอเชียตะวันออก ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของตน นอกจากเพียงแค่ประฌามการกระทำของญี่ปุ่นเท่านั้น จากกรณีดังกล่าวรัฐบาลไทยตัดสินใจสั่งให้ผู้แทนไทยประจำสันนิบาตชาติงดออกเสียงในญัตติประฌาม การกระทำของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่งดออกเสียง ทำให้ประเทศสมาชิกอื่นตำหนิไทยว่าไม่ร่วมมือกับสันนิบาตชาติ แต่ทำให้ญี่ปุ่นรู้สึกขอบคุณประเทศไทยเป็นอย่างมาก และหันมาส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศไทยมากขึ้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมในระยะต่อมา
2) การขยายอิทธิพลของญี่ปุ่น เนื่องจากชาติมหาอำนาจไม่แสดงความสนใจที่จะยับยั้งการขยายอิทธิพลของญี่ปุ่นในจีน ญี่ปุ่นจึงมีความมั่นใจว่าตนจะสามารถขจัดอิทธิพลของชาติตะวันตกให้หมดไปจากเอเชียได้ จึงประกาศว่าจะจัดระเบียบใหม่ในเอเชีย เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ชาวเอเชียอย่างแท้จริง โดยยึดครองเมืองใหญ่ ๆ ด้านตะวันออกของจีนได้ทั้งหมด เช่น เซี่ยงไฮ้ และนานกิง เป็นต้น ทำให้จอมพลเจียง ไค เช็ค ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน ต้องย้ายนครหลวงไปที่นครจุงกิงทางด้านตะวันตกของจีน เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น แต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นญี่ปุ่นได้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันเป็นเขตอิทธิพลของชาติตะวันตก ซึ่งญี่ปุ่นได้ฉวยโอกาสเมื่อขยายอิทธิพลเข้าสู่อินโดจีน อังกฤษ และฝรั่งเศส
การขยายอิทธิพลของญี่ปุ่นในเอเชียทำให้ไทยวิตกว่าอาจจะมีอันตรายมาถึงได้ จึงได้ขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและทางวัฒนธรรมกับญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกเหนือจากการพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นทำให้ประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาสงสัยว่าไทยสนับสนุนญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้นอกจากไทยจะปฏิเสธแล้วยังเตือนให้ประเทศตะวันตกรู้ถึงแผนการของญี่ปุ่นที่จะขยายอิทธิพลลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ขณะเดียวกันไทยได้ขอซื้ออาวุธสมัยใหม่จากประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกามาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการป้องกันประเทศให้แก่กองทัพไทย และหลังจากเกิดสงครามโลกขึ้นในยุโรปแล้ว ไทยได้ประกาศวางตนเป็นกลางและขอให้ชาติมหาอำนาจช่วยค้ำประกันความเป็นกลางของไทยด้วย โดยรัฐบาลไทยได้ลงนามในสัญญาไม่รุกรานกับอังกฤษและฝรั่งเศส และลงนามในสัญญามิตรภาพกับญี่ปุ่น
2. ปัจจัยในประเทศ ปัจจัยภายในที่มีส่วนกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในระบอบประชาธิปไตยมี 2 ประการ ดังนี้
1) ความเป็นชาตินิยม ปัจจัยภายในที่มีส่วนผลักดันให้รัฐบาลไทยดำเนินการนโยบายต่างประเทศต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกและต่อประเทศมหาอำนาจ คือ ลัทธิชาตินิยมซึ่งถือเป็นอุดมการณ์ในการสร้างชาติให้เข้มแข็งและในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย ซึ่งปลูกฝังให้แก่คนไทยรุ่นใหม่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 แล้ว โดยพระองค์ทรงปลุกเร้าคนไทยให้มีความสำนึกทางชาตินิยมและตระหนักถึงภัยที่กำลังคุกคามความเป็นไทยไว้ในพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ ทั้งในรูปบทความและบทละคร อาทิ ความเป็นชาติไทยแท้จริง ยิวแห่งบูรพาทิศ และเมืองไทยจงตื่นเถิด เป็นต้น นอกจากนั้น ผู้นำไทยที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ได้นำลัทธิหรือความคิดความเชื่อเกี่ยวกับการเมืองและสังคม ซึ่งได้แก่ ลักทธิชาตินิยม ซึ่งกำลังแพร่หลายอยู่ในเยอรมณี อิตาลี และญี่ปุ่นมาเผยแพร่ให้แก่คนไทย และผลักดันให้รัฐบาลไทยใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติให้เข้มแข็ง และในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
อาจกล่าวได้ว่า นโยบายการสร้างความสำนึกในชาตินิยมของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดจากความรู้สึกระแวงชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและคุมเศรษฐกิจของไทย และจากความเคืองแค้นชาติยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่เคยรังแกไทยในอดีต และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการของผู้นำไทยรุ่นใหม่นี้ที่พยายามจะสร้างชาติไทยให้เข้มแข็ง เพื่อแผ่อิทธิพลไปยังดินแดนที่เคยเป็นประเทศราชของไทยในอดีต เช่น ลาว เขมร หัวเมืองมลายู และบริเวณรัฐไทยใหญ่ เป็นต้น
2) ผู้นำทางการเมือง ผู้นำไทยที่มีแนวคิดในทางการเมืองและสังคมภายใต้ลัทธิชาตินิยมในขณะนั้นได้แก่ พันเอกพระสารสาส์นพลขันธ์ ซึ่งเป็นผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และมีความสำนึกในชาตินิยมสูงมาก เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2481 ได้เริ่มงานสร้างชาติไทยร่วมกับคณะ โดยเฉพาะหลวงวิจิตรวาทการ โดยกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่ระลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยให้เป็นวันชาติ ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 และพ.ศ. 2483 รัฐบาลได้ประกาศใช้รัฐนิยมถึง 8 ฉบับ ซึ่งได้แก่ การใช้ชื่อประเทศประเทศไทยแทนประเทศสยาม การกำหนดหน้าที่ของคนไทยในการป้องกันประเทศ การเรียกชาวไทยทุกภาคว่าชาวไทย การยืนเคารพธงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี การใช้สินค้าไทย การเปลี่ยนทำนองและเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่ และการชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ
อย่างไรก็ตาม ยังมีบุคคลชั้นนำของไทยอีกหลายคน เช่น นายปรีดี พนมยงค์ และนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเห็นด้วยในนโยบายนิยมไทยแต่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายต่อต้านประเทศยุโรป ได้ผลักดันให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายผูกมิตรกับชาติมหาอำนาจทุกฝ่ายไว้ โดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากสองประเทศนี้ในการต่อต้านการรุกรานจากญี่ปุ่น และเมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ร่วมมือกับญี่ปุ่นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นายปรีดี พนมยงค์ และผู้ร่วมอุดมการณ์ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นจากภายใน ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ดังนั้นอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าอุดมการณ์ทางการเมืองและภูมิหลังของผู้นำไทยเป็นปัจจัยภายในที่มีส่วนผลักดันให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากสถานการณ์ด้านการเมืองและการทหารในเอเชียได้เปลี่ยนแปลง ทำให้ปัจจัยภายในของไทยมีส่วนในการกำหนดนโยบายต่างประเทศมากขึ้น
การดำเนินนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย
เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังคงมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย และปัจจัยภายในก็มีบทบาทมากขึ้น ทำให้การดำเนินนโยบายต่างประเทศแตกต่างไปจากเดิม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องประสบอุปสรรคมากในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่เพิ่มขึ้น และด้วยแนวทางที่แตกต่างไปจากอดีต
1. เป้าหมายการดำเนินนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย เป้าหมายหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย คือ การรักษาเอกราชของชาติ การรักษาบูรณภาพแห่งดินแดน การรักษาความมั่นคงของชาติ การรักษาสันติภาพในโลก และการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ สำหรับการรักษาเอกราชของชาตินั้น รัฐบาลไทยได้ทำให้เอกราชของชาติไทยมีความสมบูรณ์ ทั้งทางด้านการเมืองและการศาล กล่าวคือ การประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่เริ่มจัดทำขึ้นแล้วตั้งแต่ก่อนสมัยประชาธิปไตย ทั้งนี้เพื่อขจัดเงื่อนไขที่บังคับไว้ในสนธิสัญญาที่ทำไว้กับประเทศยุโรปที่กำหนดไว้ว่า ศาลไทยจะมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีที่ชาวยุโรปตกเป็นจำเลย ก็ต่อเมื่อประเทศไทยประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและอาญา ตลอดจนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและความอาญาเรียบร้อยแล้วเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งปรากฏว่ารัฐบาลสมัยประชาธิปไตยประกาศใช้ประมวลกฎหมายดังกล่าวได้ครบทุกฉบับในปี พ.ศ. 2478 จึงทำให้ใช้เป็นข้ออ้างในการเจรจากับประเทศยุโรปเพื่อทำสนธิสัญญาใหม่กับประเทศยุโรปและญี่ปุ่น ยกเลิกข้อจำกัดในเอกราชทางศาลของไทยได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2480
ส่วนการรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนและความมั่นคงของชาตินั้น ได้มีการริเริ่มให้ยุวชนทหารการขยายและบำรุงกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ เช่น รถถัง ปืนต่อสู้อากาศยาน เรือรบ เรือดำน้ำ และเครื่องบิน เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในการป้องกันราชอาณาจักร การปรับปรุงกองทัพดังกล่าว ทำให้ต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศสวิตกมากว่ารัฐบาลไทยอาจใช้กำลังรุนแรงกับฝรั่งเศส จึงขอเจรจาทำสัญญาไม่รุกรานกับประเทศไทย ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยขอให้ฝรั่งเศสยอมยกดินแดนที่ฝรั่งเศสยึดเอาไปจากประเทศไทยในอดีตคืนให้กับประเทศไทย เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยอมเจรจาด้วยรัฐบาลไทยจึงตัดสินใจใช้กำลังทหารสนับสนุนการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2483 ซึ่งทำให้ประเทศไทยได้ดินแดนในเขมรและลาวคืนจากฝรั่งเศสจำนวน 4 จังหวัด โดยการไกล่เลี่ยของญี่ปุ่น อาจกล่าวได้ว่าการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสนี้เป็นนโยบายต่างประเทศของไทยเพียงนโยบายเดียวที่แตกต่างไปจากนโยบายต่างประเทศที่ผ่านมาที่ต้องยอมเสียดินแดนให้แก่มหาอำนาจเพื่อรักษาเอกราชของชาติเอาไว้
2. แนวทางดำเนินนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย แนวทางที่รัฐบาลไทยอาจเลือกใช้ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศมีอยู่ 2 แนวทาง คือ แนวทางสันติ หมายถึง การใช้การเมือง การฑูต การเศรษฐกิจ และการค้า รวมทั้งจิตวิทยา เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองกับต่างประเทศเพื่อให้ต่างประเทศเห็นพ้องหรือยอมตามที่ไทยต้องการ และแนวทางรุนแรง หมายถึง การใช้การทหารเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อบังคับให้ต่างประเทศสนองผลประโยชน์ของไทย
ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยนิยมใช้แนวทางสันติเป็นหลัก ดังจะเห็นได้ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ยกเว้นในยามที่ไทยมีกำลังทหารเข้มแข็งเท่านั้น จึงจะใช้แนวทางรุนแรงเพื่อขยายอาณาเขตของไทยออกไปให้กว้างขวาง ส่วนสมัยอยุธยานั้น นิยมใช้แนวทางรุนแรงเป็นหลัก เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยกเว้นแต่ในยามที่ไทยอ่อนแอ จึงจะใช้แนวทางสันติ และสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ทรงใช้กำลังทหารขยายอาณาเขตของไทยไปยังดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้เพื่อรักษาความมั่นคงของพระราชอาณาจักรไทยนั่นเอง
สำหรับการติดต่อกับประเทศมหาอำนาจนั้น ไทยได้ใช้การเมือง การฑูตเป็นเครื่องมือในการติดต่อสร้างสัมพันธไมตรี เช่น ยอมทำสัญญาเสียเปรียบกับประเทศมหาอำนาจ และบางครั้งก็ต้องยอมเสียดินแดนให้กับประเทศมหาอำนาจ เพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติด้วย
เมื่อประเทศไทยก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลได้ใช้แนวทางสันติเป็นแนวทางหลัก การที่ไทยตัดสินใจใช้กำลังทหารยึดดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ก็เนื่องจากความรู้สึกชาตินิยมของคนไทยซึ่งเป็นปัจจัยภายใน ในขณะที่ฝรั่งเศสอ่อนแอลงอย่างมาก อันเป็นปัจจัยภายนอกช่วยสนับสนุนให้ไทยใช้แนวทางรุนแรง
อาจกล่าวได้ว่า การที่รัฐบาลไทยในยุคประชาธิปไตยเลือกใช้แนวทางสันติ และหลีกเลี่ยงการใช้แนวทางรุนแรงดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้นมีสาเหตุอันเนื่องมาจากลักษณะประจำชาติไทยที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป และลักษณะทางภูมิศาสตร์ของไทยที่เป็นรัฐขนาดกลาง จึงทำให้ไทยใช้แนวทางรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้านที่อ่อนแอกว่า และใช้การเมืองการฑูตผูกมิตรกับประเทศมหาอำนาจ หรือเพื่อนบ้านที่เข้มแข็งกว่า
3. อุปสรรคและการแก้ไข การแก้ไขสนธิสัญญาบนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคกับต่างประเทศและการเรียกร้องดินแดนที่ถูกยึดเป็นอาณานิคม เป็นปัญหาอันเป็นเป้าหมายของไทยในการแก้ไข การดำเนินนโยบายต่างประเทศ ไทยประสบอุปสรรคทั้งในด้านการใช้แนวทางสันติและแนวทางรุนแรง ซึ่งรัฐบาลได้พยายามหาทางแก้ไขอุปสรรคดังกล่าวด้วยวิธีการ ดังนี้
1. วิธีทางการฑูต อุปสรรคสำคัญของการแก้ไขสนธิสัญญาบนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค คือความไม่เต็มใจของประเทศมหาอำนาจในยุโรปที่จะแก้ไขสนธิสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่พวกเขา ซึ่งไทยได้แก้ปัญหาความไม่เต็มใจของประเทศในยุโรปและญี่ปุ่นได้สำเร็จ ด้วยวิธีทางการทูต 2 ประการ ดังนี้
1) การเจรจากับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผลประโยชน์ทางการค้าและชาวอเมริกันมีน้อยกว่าคนยุโรปที่อยู่ในประเทศไทย จึงขอให้สหรัฐอเมริกายอมยกเลิกสนธิสัญญาเก่า และทำสนธิสัญญาใหม่บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 ซึ่งมีผลทำให้ไทยเจรจาเพื่อขอทำสนธิสัญญาใหม่บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคกับอังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ได้ในเวลาต่อมา
2) สร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น เนื่องจากการขยายอิทธิพลของญี่ปุ่นในเอเชีย ทำให้ไทยต้องสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นในด้านการค้าและวัฒนธรรมมากขึ้น เพื่อใช้ความใกล้ชิดกับญี่ปุ่นเป็นเครื่องมือต่อรองกับประเทศมหาอำนาจในยุโรป ซึ่งไม่ต้องการให้ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมากเกินไป
2. การใช้แนวทางรุนแรง การดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อการขยายดินแดนของไทยตามกระแสชาตินิยมของคนไทยต้องประสบอุปสรรคอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยไม่มีอาวุธทันสมัยจากต่างประเทศมาสร้างความเข้มแข็งให้แก่กองทัพไทย ขณะเดียวกันต่างประเทศก็ไม่เต็มใจขายอาวุธทันสมัยให้ เพราะเกรงว่าไทยอาจใช้อาวุธเหล่านั้นร่วมมือกับประเทศอื่นคุกคามผลประโยชน์ของตน เช่น สหรัฐอเมริกาไม่ยอมส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดให้แก่ไทย เพราะเกรงว่าจะใช้อาวุธเหล่านั้นทำสงครามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสทั้ง ๆที่ได้ตกลงขายให้แล้ว เป็นต้น ส่งผลให้กองทัพไทยด้อยสมรรถภาพ รัฐบาลไทยจึงแก้ปัญหาด้วยการบำรุงขวัญและกำลังใจให้ทหารไทยฮึกเหิม พร้อมที่จะทำการรบเพื่อแก้แค้นฝรั่งเศสที่เคยทำความเจ็บใจให้แก่ประเทศไทยในอดีต ซึ่งทำให้กองทัพไทยประสบชัยชนะ โดยฝรั่งเศสยอมเจรจาคืนดินแดนบางส่วนให้กับไทย นอกจากนี้เมื่อญี่ปุ่นมีแผนการจะบุกไทยเพื่อเป็นทางผ่านไปโจมตีพม่าและมลายู ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รัฐบาลไทยได้ใช้วิธีออกกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคนไทยในการรบ และใช้การโฆษณาจูงใจเพื่อระดมประชาชนไทยให้มีส่วนช่วยต่อต้านการรุกรานของชาติมหาอำนาจ

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
1. ด้านเศรษฐกิจ หลังจากการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคเป็นผลสำเร็จในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนานาชาติได้เข้าสู่ความเสมอภาคโดยสมบูรณ์ ยังผลให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับนานาชาติให้ประโยชน์แก่ไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านภาษีศุลกากร ซึ่งคู่ค้าที่สำคัญของไทยได้แก่ ประเทศในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น สำหรับสินค้าสำคัญของยุโรปที่ไทยสั่งซื้อ ได้แก่ ด้ายดิบ ด้ายเย็บผ้า ผ้า และสิ่งต่าง ๆ ที่ทำด้วยฝ้าย รวมทั้งเหล็ก เหล็กกล้า และวัสดุต่าง ๆ ที่ทำด้วยเหล็ก และเหล็กกล้า เครื่องจักร ส่วนของเครื่องจักร นมข้น และสุรา เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ไทยได้ส่งสินค้าด้านเกษตรและวัตถุดิบ เช่น ข้าว ไม้สัก ยางพารา และดีบุกไปขายยังประเทศเหล่านี้เป็นการแลกเปลี่ยน และเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมแข่งกับประเทศยุโรป และมีราคาถูกกว่า รวมทั้งอยู่ใกล้กับไทยมากกว่าประเทศยุโรป ญี่ปุ่นจึงเป็นผู้ค้ารายใหม่ที่สำคัญของไทย ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสลดลงเป็นอย่างมาก และเมื่อประเทศยุโรป ต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าประเภทเครื่องจักรและสิ่งทอมาขายให้กับไทยได้ ไทยต้องหันไปซื้อสินค้าดังกล่าว รวมทั้งเครื่องบินจากสหรัฐอเมริกาแทนจึงทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลของชาวยุโรปรวมทั้งชาวจีนได้กุมเศรษฐกิจของไทยไว้ถึงร้อยละ 95 โดยเฉพาะอังกฤษ เนื่องจากไทยใช้เงินปอนด์สเตอร์ลิงก์เป็นเงินสำรองต่างประเทศ และมีชาวอังกฤษเป็นที่ปรึกษาด้านการคลัง รวมทั้งกิจการต่าง ๆ เช่น การเดินเรือ เหมืองแร่ ป่าไม้ ยาสูบ และธุรกิจส่งสินค้าเข้า-ส่งสินค้าออก เป็นต้น จนกระทั่งสงครามเอเชียบูรพาเกิดขึ้น ไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา รัฐบาลจึงเข้าควบคุมธุรกิจต่าง ๆ ทั้งของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาไว้ทั้งหมด
2. ด้านการเมือง แม้ว่าประเทศไทยจะมีความเสมอภาคกับนานาชาติที่เป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติประเทศไทยยังไม่ได้มีฐานะเท่าเทียมกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ในเรื่องเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางศาล และการใช้อำนาจเก็บภาษีศุลกากรเนื่องจากสนธิสัญญาที่ประเทศเหล่านั้นทำกับประเทศไทยไว้บางประการ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น กงสุลต่างประเทศยังมีอำนาจในการถอนคดีจากศาลไทยได้ ยกเว้น ศาลฎีกา จนกว่าประเทศไทยจะประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาครบถ้วนแล้ว 5 ปี ส่วนด้านการค้าซึ่งสนธิสัญญากำหนดว่าภายใน 10 ปี นับแต่วันทำสนธิสัญญา ไทยจะไม่เก็บภาษีศุลกากรแก่สินค้าบางอย่างในอัตราสูงกว่าร้อยละ 5 เช่น ด้ายดิบ ด้ายเย็บผ้า ผ้า และสิ่งต่าง ๆ ที่ทำด้วยฝ้าย รวมทั้งเหล็ก เหล็กกล้า รวมทั้งวัสดุต่าง ๆ ที่ทำด้วยเหล็กและเหล็กกล้า เครื่องจักร ส่วนของเครื่องจักร นมข้น และสุรา เป็นต้น ต่อมาหลังจากที่ไทยประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวได้ครบทุกฉบับในปี พ.ศ. 2478 จึงเปิดการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ประเทศยุโรป รวมทั้งยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่น เพื่อทำสนธิสัญญาใหม่บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค ในปี พ.ศ. 2480 ซึ่งทำให้ไทยมีฐานะเท่าเทียมกับนานาชาติตั้งแต่นั้นมา
3. ด้านสังคมและวัฒนธรรม ประเทศไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบผูกมิตรกับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศมหาอำนาจ แม้ว่าในยุคเริ่มต้นประชาธิปไตยนั้น ไทยจะมีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองกับญี่ปุ่นมากขึ้น แต่ก็ยังรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศมหาอำนาจยุโรปและสหรัฐอเมริกาไว้ ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างไทยกับประเทศมหาอำนาจจึงมีลักษณะ ดังนี้
1) การจ้างที่ปรึกษาราชการ ประเทศไทยจ้างชาวยุโรปและอเมริกาให้รับราชการเป็นที่ปรึกษางานด้านต่าง ๆ เช่น ชาวอังกฤษเป็นที่ปรึกษาการคลังและสอนกฎหมายในโรงเรียนกฎหมาย ชาวฝรั่งเศสเป็นที่ปรึกษากฎหมายและสอนภาษาฝรั่งเศส สำหรับชาวอเมริกันนั้นไทยได้จ้างให้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 โดยทรงเห็นว่า สหรัฐอเมริกาไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับไทย จึงน่าจะให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยได้ดีที่สุด
2) การส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ รัฐบาลไทยได้ส่งนักเรียนที่เรียนดี รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้ส่งบุตรหลานไปศึกษาวิชาการสมัยใหม่ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ทั้งนี้เพื่อกลับมารับราชการในประเทศไทย ซึ่งได้รับเงินเดือนสูงกว่าผู้ที่จบการศึกษาในประเทศ
3) การได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรมกับประเทศให้มากขึ้น เช่น ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ประชาชนไทยส่วนใหญ่ยังคงมีค่านิยมในศิลปวัฒนธรรมของยุโรป และสหรัฐอเมริกา มากกว่าญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีซึ่งสูงกว่าญี่ปุ่น นอกจากนี้ผู้สนับสนุนให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาประกอบธุรกิจและท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็นพิเศษ

ผลกระทบของนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ด้านการเมือง เมื่อญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษแล้ว ต่อมารัฐบาลไทยได้ทำสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่นและได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศคู่สงครามกับทั้งสองประเทศอย่างเต็มที่ อังกฤษรวมทั้งออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศในเครือจักรภพได้ประกาศสงครามกับประเทศไทย ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกากลับไม่ยอมประกาศสงครามกับไทย ด้วยเหตุผลที่ว่าการประกาศสงครามไม่ได้เกิดจากความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริง และถือว่าไทยถูกญี่ปุ่นยึดครองต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามผลกระทบด้านการเมืองต่อประเทศไทย หลังจากร่วมมือกับญี่ปุ่นในการทำสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกามีหลายประการ ดังนี้
1) เกิดอำนาจเผด็จการทหาร มีการรวมอำนาจทางทหารไว้ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกด้วย ในฐานะนายกรัฐมนตรียังสามารถสั่งการตำรวจและพลเรือนได้ทั้งหมด ซึ่งถือว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการในประเทศได้อย่างเด็ดขาด
2) เกิดความรู้สึกชาตินิยม เนื่องจากเกิดภาวะสงคราม ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคและภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลได้เร่งแก้ไขด้วยการใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การควบคุมราคาสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้น เพื่อสนับสนุนให้มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทั้งของรัฐบาลและเอกชน รวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมในครอบครัวผลิตสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งธนาคารชาติขึ้นเพื่อเป็นธนาคารกลางควบคุมดูแลด้านการเงินที่ใช้ภายในประเทศ ตลอดจนการส่งเสริมให้คนไทยนิยมใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยอย่างจริงจัง ด้วยการปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยมให้ประชาชนไทยช่วยกันสร้างชาติให้เข้มแข็งทัดเทียมอารยประเทศ โดยใช้คำขวัญว่า ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ เป็นต้น
3) เกิดขบวนการเสรีไทย การประกาศสงครามของไทยในครั้งนี้ได้รับการคัดค้านจากผู้นำของประเทศหลายคน เช่น นายปรีดี พนมยงค์ และนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นในประเทศไทย ชื่อว่า ขบวนการเสรีไทย ขณะเดียวกัน ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันก็ได้ประกาศก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นเช่นกัน โดยขอการสนับสนุนจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นและปลดปล่อยประเทศไทยต่อไป เมื่อขบวนการเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศติดต่อประสานงานกันได้ ทำให้มีความพร้อมที่จะต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นได้ แต่ขบวนการเสรีไทยก็ไม่ได้ปฏิบัติการตามความประสงค์ได้จนกระทั่งญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม อย่างไรก็ตาม ขบวนการเสรีไทยในประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในด้านข่าวกรอง เพื่อช่วยให้เครื่องบินของทั้งสองชาติเข้ามาทิ้งระเบิดที่มั่นของทหารญี่ปุ่นในไทยได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทั้งนี้ขบวนการเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศได้มีส่วนช่วยให้ไทยพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม โดยนายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทยแห่งประเทศไทย ได้ช่วยให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการยอมรับจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเดินทางกลับไทยเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และใช้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาช่วยกดดันให้อังกฤษยอมผ่อนปรนความต้องการต่าง ๆ ที่รัฐบาลอังกฤษขอให้ไทยกระทำเพื่อเป็นการไถ่โทษ กรณีไทยประกาศ
4) เกิดเป็นศัตรูกับชาติมหาอำนาจ เมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่ผ่านมาได้กลายเป็นศัตรู โดยเฉพาะอังกฤษมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในประเทศไทยอยู่มาก เมื่อมีข่าวว่าญี่ปุ่นสนับสนุนไทยเพื่อขุดคลองบริเวณคอคอดกระเพื่อเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย หากดำเนินการสำเร็จก็จะมีร้ายทางยุทธศาสตร์ต่ออังกฤษอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ญี่ปุ่นมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในไทยเพิ่มขึ้น และญี่ปุ่นสามารถคุมเส้นทางเดินเรือระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย และลดความสำคัญของสิงคโปร์ รวมทั้งช่องแคบมะละกาลงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงประเทศไทยจำต้องทำความตกลงกับอังกฤษในระยะหลังสงคราม โดยต้องยอมปฏิบัติตามความต้องการบางประการของอังกฤษ คือ จะไม่มีการขุดคลองในดินแดนของประเทศไทยเพื่อเชื่อมอ่าวไทยกับมหาสมุทรอินเดีย เว้นแต่อังกฤษจะให้ความยินยอม
2. ด้านเศรษฐกิจ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจในลักษณะที่ได้เปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศ นอกจากนั้น ประเทศไทยยังเก็บภาษีศุลกากรได้เป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และดึงเอาประเทศไทยเข้าไปร่วมในสงครามด้วย ทำให้การค้าระหว่างประเทศไทยกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาหยุดชะงักลง เพราะประเทศไทยสามารถทำการค้ากับญี่ปุ่นได้เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ยังผลให้ประเทศไทยได้รับภาษีศุลกากรลดลงมาก และการที่การค้าระหว่างประเทศได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างร้ายแรง ดังนี้
1) ค่าครองชีพสูงขึ้น เนื่องจากเกิดความขาดแคลนสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคที่เคยสั่งซื้อจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา แม้ว่ารัฐบาลไทยจะได้ส่งเสริมให้มีโรงงานเพื่อผลิตสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว แต่ต้องประสบปัญหาด้านวัตถุดิบสำหรับใช้ในการผลิตที่เคยนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงไม่สามารถที่จะผลิตผลสิ่งของออกมาสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเพียงพอ ทำให้ราคาผลิตผลต่าง ๆ จากโรงงานเหล่านี้ยังคงสูงอยู่ และทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นเรื่อย ๆ
2) เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง เนื่องจากได้มีการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น เพื่อให้รัฐบาลญี่ปุ่นยืมสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของกองทัพญี่ปุ่นที่ตั้งในประเทศไทย นอกจากนี้เกิดจากการที่ไทยต้องยอมลดค่าเงินบาทให้เท่ากับค่าของเงินเยนของญี่ปุ่น ทำให้ค่าของเงินไทยลดลง ภาวะเงินเฟ้อดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ที่ยากไร้กลายเป็นโจรผู้ร้ายกันมาก ซึ่งรัฐบาลต้องใช้กำลังปราบปรามอย่างเฉียบขาด
3. ด้านสังคมและวัฒนธรรม รัฐบาลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ปฏิวัติสังคมและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้มีความทันสมัยเหมือนประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น ดดยการประกาศรัฐนิยม และจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้น รวมทั้งประกาศวีรกรรม 14 ประการ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตด้วย ซึ่งได้เกิดผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยอย่างมาก ดังนี้
1) การสร้างสำนึกชาตินิยม รัฐบาลได้ประกาศใช้รัฐนิยมจำนวน 12 ฉบับ อาทิการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย การกำหนดหน้าที่ให้คนไทยยืนเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี การใช้ของที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย การแต่งกายของชาวไทย และกิจวัตรประจำวันของคนไทยนั้น เป็นต้น ซึ่งมีผลในการสร้างความสำนึกทางชาตินิยมของคนไทย ทำให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องการแต่งกาย และมีแนวทางการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าจะมีผลทำให้ประชาชนคนไทยมีวัฒนธรรมและมีวิถีชีวิตที่เป็นระเบียบ อันจะทำให้ประเทศไทยมีความยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับอารยประเทศ
2) การปฏิวัติวัฒนธรรม รัฐบาลได้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยให้เป็นไปตามรัฐนิยม ซึ่งมี 5 ด้าน ดังนี้
1. ด้านจิตใจ รัฐบาลได้ส่งเสริมให้คนไทยประกอบอาชีพตั้งแต่ค้าขายเล็ก ๆ
น้อย ๆ เช่น ขายก๋วยเตี๋ยว จนกระทั่งถึงอุตสาหกรรมป่าไม้และเหมืองแร่ เป็นต้น รวมทั้งให้ประชาชนปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้งดงาม และรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ให้ประชาชนไทยเลิกความนิยมในการใช้ฤกษ์ยามในการประกอบการงานต่าง ๆ และเลิกนิยมในไสยศาสตร์อีกด้วย
2. ด้านระเบียบประเพณี รัฐบาลได้ยกเลิกประเพณีบางอย่าง เช่น เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 13 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม ตามหลักสากลนิยม และยกเลิกบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ ที่บุคคลได้รับลพระราชทานมาจากพระมหากษัตริย์ เพื่อทำให้ทุกคนเสมอกันในกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ สำหรับประเพณีในการแต่งกาย ผู้ชายต้องสวมหมวก รองเท้าหุ้มส้นและถุงเท้า เสื้อนอกและกางเกงขายาว ผู้หญิงมีหมวก กระโปรง เสื้อนอกคลุมไหล่ รองเท้ารัดส้นหรือหุ้มส้น ส่วนชาวไร่ชาวนาควรสวมท็อปบู๊ทในเวลาไถนาหรือดำนา อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนประเพณีการแต่งกายนี้ ก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองและไม่สอดคล้องกับสภาพดินฟ้าอากาศของประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน ซึ่งเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป จึงถูกยกเลิกไปในเวลาต่อมา
3. ด้านศิลปกรรม ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรขึ้นในปี พ.ศ. 2486 เพื่อค้นคว้าและส่งเสริมวัฒนธรรมและด้านศิลปกรรมของไทย และมีการปรับปรุงการละเล่นพื้นเมืองทางภาคอีสาน เช่น รำโทน ให้มีความสุภาพและเรียกชื่อใหม่ว่ารำวง ซึ่งรัฐบาลได้เผยแพร่ให้ข้าราชการฝึกรำวงกันทั่วประเทศ
4. ด้านวรรณกรรม ได้ปรับปรุงภาษาไทยใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการเรียน โดยลดตัวอักษรที่ไม่จำเป็นลงจาก 44 ตัวเหลือ 32 ตัว เช่น ตัดอักษร ฆ ษ และ ฒ ออกไป เป็นต้น นอกจากนั้น ยังได้กำหนดหลักการการตั้งชื่อให้มีความแตกต่างกันระหว่างชื่อของผู้ชายและผู้หญิงอีกด้วย เช่น ชื่อของชายต้องมีลักษณะแข็งแรงกล้าหาญ ส่วนชื่อของหญิงต้องมีความหมายอ่อนโยนและไพเราะ เป็นต้น
5. ด้านการปฏิบัติต่อสตรี รัฐบาลได้ยกย่องสตรีให้มีฐานะเท่าเทียมชายเกือบทุกประการ เช่น มีการตั้งกองทหารหญิง โรงเรียนนายร้อยหญิง และโรงเรียนนายสิบหญิง เป็นต้น ส่วนในเรื่องการปฏิบัติของสามี-ภรรยานั้น สภาวัฒนธรรมแห่ชาติก็ได้เสนอและให้สามียึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อภรรยา เช่น สามีพึงยกย่องผู้เป็นภรรยา ไม่ดูหมิ่น ไม่ประพฤตินอกใจ และมอบความเป็นใหญ่ให้ เป็นต้น
3) วีรกรรมของชาติไทย หลังจากได้ปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว รัฐบาลได้กำหนดแนวทางอันเป็นวิถีทางดำเนินชีวิตของคนไทย เรียกว่า วีรกรรมของชาติไทย 14 ประการ อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติสังคมและวัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่เป็นผลดีต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางอย่างมีลักษณะเป็นการบังคับมากกว่าการชักจูง ประกอบกับประเทศไทยก็ยังขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคหลายอย่าง จึงไม่อาจที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ทางราชการกำหนดไว้ได้ ทำให้หลายคนต้องถูกจับฐานเป็นผู้ไม่มีวัฒนธรรม เช่น ไม่สวมหมวกและแต่งกายไม่เรียบร้อยรวมทั้งไม่ยืนเคารพธงชาติเมื่อมีการชักธงขึ้นสู่ยอดเสา เป็นต้น ต่อมานโยบายปฏิวัติสังคมและวัฒนธรรมได้ถูกยกเลิกไป อย่างไรก็ตาม แม้นโยบายดังกล่าวจะสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน แต่ก็ได้ส่งผลดีหลายอย่างต่อวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน เช่น การเคารพธงชาติ เป็นต้น

นโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยยุคปัจจุบัน
การกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในยุคปัจจุบัน อาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. องค์ประกอบภายในประเทศ องค์ประกอบภายในที่สำคัญที่รัฐบาลมักจะนำมาประกอบการพิจารณาในการกำหนดนโยบายต่างประเทศมี 4 ประการ ดังนี้
1) การเมืองภายในประเทศ หมายถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นผลจากการ
เคลื่อนไหวและพฤติกรรมของผู้นำทางการเมืองกลุ่มผลประโยชน์ และพรรคการเมืองที่แสดงออกผ่านทางสถาบันทางการเมืองและสื่อมวลชนในประเทศซึ่งมีทั้งการขัดแย้งและความร่วมมือกันในเหตุการณ์ต่าง ๆ กระบวนการทางการเมืองภายในอันเป็นผลมาจากโครงสร้างทางการเมืองและบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมืองและสื่อมวลชนรวมทั้งเสถียรภาพของตัวผู้นำเป็นปัจจัยในด้านการเมืองที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย
2) เศรษฐกิจภายในประเทศ หมายถึง ลักษณะและระดับของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ตลอดจนกระบวนการทางเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ อาทิ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแรงงานและกลุ่มธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งอาจขัดแย้งกันหรืออาจร่วมมือกันเพื่อกดดันรัฐบาลดำเนินการพิทักษ์ผลประโยชน์ของกลุ่มตน อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้จะมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ
3) อุดมการณ์ของชาติ หมายถึง ระบบความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับสังคมในชาติถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงามที่จะต้องรักษาไว้ หรือดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงหรือได้มาในที่สุด อุดมการณ์ของชาติจึงเป็นสิ่งจูงใจให้คนในชาติร่วมกันเรียกร้องให้มีการแก้ไขสภาวะทางสังคมที่ขัดกับสิ่งที่คนในชาติส่วนใหญ่ถือว่าดีงามที่พวกเขาต้องการรักษาไว้หรือได้มา ซึ่งย่อมจะมีผลผลักดันให้รัฐบาลกำหนดนโยบายทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อรักษาหรือให้ได้มาในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในชาติต้องการ
สำหรับอุดมการณ์ของชาติไทย ซึ่งคนไทยยึดมั่นรวมกันมาช้านานแล้ว และต้องการรักษาไว้ตลอดไปคือ ความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา บุคคลชั้นนำของไทยจำนวนหนึ่งได้ประกาศความศรัทธาในลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม หรือลัทธิประชาธิปไตย รวมทั้งพยายามที่จะปลูกฝังให้ประชาชนเลื่อมใสในลัทธิดังกล่าวด้วย อาจกล่าวได้ว่า ความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และอุดมการณ์ประชาธิปไตยมีส่วนชี้แนวทางให้คนไทยมีพฤติกรรมทางสังคมบางอย่างร่วมกันและมีความรักใคร่สามัคคี รวมทั้งผลักดันให้รัฐบาลไทยกำหนดนโยบายภายในและภายนอกประเทศให้สอดคล้องและส่งเสริมเป้าหมายของอุดมการณ์นี้ เช่น คนไทยทุกคนจะได้รับการสั่งสอนอบรมตั้งแต่เล็กจนโตให้มีความรักชาติ ยึดมั่นในศาสนา และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ตลอดจนเลื่อมใสในการปกครองระบบประชาธิปไตย เนื่องจากอุดมการณ์ของชาติดังกล่าวนี้ มีความสำคัญต่อสังคมไทยอย่างมาก กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สโมสร สมาคน และพรรคการเมืองต่าง ๆ จึงประกาศเจตนาเหมือน ๆ กันว่าจะยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เช่น ในการปฏิญาณตนของบัณฑิตใหม่ทุกมหาวิทยาลัยจะประกาศเหมือนกันว่า จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ในทำนองเดียวกันรัฐบาลไทยในยุคประชาธิปไตยทุกคณะต่างประกาศนโยบายว่า จะยึดมั่นในอุดมการณ์ดังกล่าวเช่นกัน ดังตัวอย่างในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 พันตำรวจโททักษิน ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า คณะรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้น อุดมการณ์ของชาติดังที่กล่าวมานี้ มีส่วนผลักดันให้รัฐบาลไทยที่ผ่านทุกรัฐบาล กำหนดเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศคล้ายคลึงกัน ดังนี้ คือ การรักษาเอกราชของชาติ การรักษาบูรณภาพแห่งดินแดน การรักษาความมั่นคงของชาติ การรักษาสันติภาพในภูมิภาคและในโลก และการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ
4) สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศ สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ได้แก่ พื้นที่ ทรัพยากร และประชากรของประเทศ และโดยเหตุผลที่ทุกประเทศในโลกมีเป้าหมายสำคัญในนโยบายต่างประเทศเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ดังนั้นในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ รัฐบาลทุกประเทศจึงต้องนำเอาสภาพภูมิศาสตร์ของประเทสมาเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญเสมอก่อนที่จะตกลงใจเลือกนโยบายต่างประเทศอย่างใดอย่างหนึ่งมาปฏิบัติ นอกจากนั้น อาจกล่าวได้ว่าสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศมีส่วนทำให้ประเทศต่าง ๆ กำหนดนโยบายต่างประเทศแตกต่างกัน เช่น ประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยทะเลหรือมหาสมุทร เช่น ญี่ปุ่น ย่อมจะกำหนดนโยบายต่างประเทศแตกต่างไปจากประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยพื้นดิน เช่น ประเทศเนปาล เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยนั้น สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศตลอดมา เนื่องจากพื้นที่ของประเทศไทยมีรูปร่างเหมือนขวาน ซึ่งพื้นที่ตอนบนมีเขตแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ส่วนพื้นที่ตอนล่างเป็นแผ่นดินที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรจึงล้อมรอบไปด้วยทะเลทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก อีกทั้งมีเขตแดนดินติดกับประเทศเพื่อนบ้านอีก 2 ประเทศ คือ พม่า และมาเลเซีย ซึ่งมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นโทษมากกว่าที่เป็นคุณต่อประเทศไทย นอกจากนี้ ประชากรของไทยในปัจจุบันซึ่งมีประมาณ 63.1 ล้านคน ส่วนใหญ่พูดภาษาไทยและนับถือศาสนาพุทธ และอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ชาวไทยใน 4 จังหวัดภาคใต้ และผู้ที่นับถือภูติผีปีศาจ เช่น ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งประชากรเหล่านี้ไม่ได้ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน
ด้านทรัพยากรของไทยนั้น มีทรัพยากรประเภทอาหารและประเภทแร่ธาตุอยู่มากเกินความต้องการภายในประเทศ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด และดีบุก รวมทั้งสินค้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งสามารถส่งเป็นสินค้าขาออกนำเงินตราเข้าประเทศเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ส่วนแร่ธาตุประเภทเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันและถ่านหินนั้นมีอยู่น้อยไม่เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศจำเป็นต้องนำเข้าคิดเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปีเช่นกัน
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า แม้สภาพทางภูมิศาสตร์จะเป็นคุณแก่ประเทศไทย แต่ปัญหาที่เกิดจากสภาพภูมิศาสตร์ที่ต้องแก้ไขปัญหาตลอดเวลา เช่น มีพื้นที่และอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งยังได้ปักปันเขตแดนให้ชัดเจน อีกทั้งฝั่งทะเลมีความยาวและไม่ติดต่อกันซึ่งยากแก่การป้องกันได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหากับชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอื่น และไม่ได้ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
จากสภาพภูมิศาสตร์ทั้งที่เป็นคุณและโทษต่อประเทศไทยดังกล่าว รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายต่างประเทศโดยใช้ประจากสภาพที่เป็นคุณ และหลีกเลี่ยงการดำเนินนโยบายที่อาจทำให้สภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นโทษอยู่แล้วส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ นโยบายต่างประเทศที่ผ่านมาส่วนใหญ่ยึดนโยบายผูกมิตรกับนานาประเทศ ที่มีผลประโยชน์สอดคล้องกับประเทศไทย หรืออาจคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ
2. องค์ประกอบภายนอกประเทศ หมายถึง ระบบระหว่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ระบบระหว่างประเทศระดับโลก หรือระบบโลก ที่เกิดจากพฤติกรรมของมหาอำนาจเป็นส่วนใหญ่ และระบบภูมิภาคที่เกิดจากพฤติกรรมของมหาอำนาจและของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นปัจจัยที่มีส่วนกดดันให้รัฐบาลของทุกประเทศตัดสินใจดำเนินนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากระบบระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนั้น และเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศชาติ ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่มีส่วนกดดันให้รัฐบาลไทย ซึ่งเป็นประเทศระดับกลางมักจะนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดนโยบายต่างประเทศเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติมี 3 ประการ ดังนี้
1) การแข่งขันเพื่อขยายอำนาจของมหาอำนาจ การแข่งขันเพื่อขยายอำนาจของมหาอำนาจทั้งอดีตและปัจจุบันมีผลกระทบต่อประเทศไทยเสมอ เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลก จึงทำให้มหาอำนาจสนใจที่จะแผ่เข้ามาครอบงำและแสวงผลประโยชน์ เช่น การแข่งขันเพื่อขยายอำนาจของอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 24 และต้นพุทธศตวรรษที่ 25 มีผลกดดันให้รัฐบาลไทยเร่งปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยทั้งในด้านการทหารและการบริหารประเทศ รวมทั้งการผูกมิตรกับประเทศตะวันตกทุกประเทศ ดังจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสประเทศในยุโรปถึง 2 ครั้ง รวมทั้งส่งพระราชโอรสและสามัญชนที่เรียนดีไปศึกษาวิชาทหารและวิทยาการสมัยใหม่ในยุโรป การปรับตัวของประเทศไทยในขณะนั้นทำให้ได้รับประสบการณ์ทางการทูตอย่างมาก และช่วยวางพื้นฐานที่ดีในการดำเนินนโยบายต่างประเทศให้แก่รัฐบาลไทยในระยะต่อมา พื้นฐานดังกล่าวคือ การรักษาดุลทางการทูตกับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ประโยชน์แก่ประเทศไทยมากกว่านโยบายผูกมิตรกับประเทศมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่งเพียงประเทศเดียว การที่ประเทศไทยต้องปรับนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระหว่างประเทศนั้น ส่งผลให้สามารถดำรงความเป็นเอกราชไว้ได้จนกระทั่งปัจจุบันนี้
2) การขัดแย้งทางอุดมการณ์ของมหาอำนาจ การขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยกับสหภาพโซเวียตผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง หรือที่เรียกว่าสงครามเย็น นั้นเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ หรือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วโลก โดยทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องตัดสินใจว่าจะรับเอาอุดมการณ์ของมหาอำนาจใด มหาอำนาจหนึ่งมาเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของตนหรือไม่ สำหรับรัฐบาลไทยเลือกดำเนินนโยบายสนับสนุนสหรัฐอเมริกาทั้งในด้านการเมืองและการทหารในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ เนื่องจากไม่ต้องการลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งลัทธิดังกล่าวมุ่งทำลายสถาบันสำคัญคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์และเปลี่ยนสังคมไทยให้เป็นแบบคอมมิวนิสต์
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในที่มีส่วนกำหนดนโยบายต่างประเทศ ขณะนั้นเป็นทั้งเหตุและผลของกันและกันในการกำหนดนโยบาย
3) การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการทหารในเอเชีย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบระหว่างประเทศระหว่างภูมิภาค เป็นปัจจัยภายนอกที่มีส่วนกดดันให้ประเทศไทยต้องปรับนโยบายต่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางด้านการเมืองและการทหารที่เปลี่ยนไป ผลจากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออกในปี พ.ศ. 2534 ทำให้สงครามเย็นระหว่างสองอภิมหาอำนาจสิ้นสุดลงโดยปริยาย ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางการเมืองและการทหารรวมทั้งเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่สำคัญนับตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 โครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจเดิมมีอันต้องเสื่อมสลายและถูกแทนที่ด้วยระเบียบโลกใหม่ โดยมีสหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้นำของโลกเพียงฝ่ายเดียว สำหรับการเมืองของไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ในขณะที่ด้านการทหารมีนโยบายลดขนาดกำลังพลลงเพื่อให้เกิดความคล่องตัว แต่เพิ่มสมรรถนะความเข้มแข็งที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว
3. ผลประโยชน์ของชาติ นโยบายต่างประเทศของไทยที่กำหนดขึ้นจากเหตุปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกประกอบกันนั้น ประสบผลสำเร็จในการช่วยรักษาผลประโยชน์ของชาติที่สำคัญ ดังนี้
1) ด้านการรักษาเอกราชของชาติ ประเทศไทยรักษาความเป็นชาติเอกราชไว้ได้เกือบตลอดเวลากว่า 700 ปี โดยเสียเอกราชให้แก่พม่าเพียง 2 ครั้ง รวมเวลา 15 ปีเท่านั้น ย่อมแสดงว่านโยบายต่างประเทศของไทยประสพความสำเร็จในการรักษาผลประโยชน์ของชาติและอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประกอบกัน ดังนี้
(1) ความสามารถทางการทูตของผู้นำประเทศ ผู้นำของประเทศไทยมีความสามารถในทางการทูตเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศสอดคล้องกับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่อาจเป็นภัยคุกคามเอกราชของชาติได้เกือบตลอดเวลา นับตั้งแต่สมัยอยุธยาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งพระองค์ทรงส่งราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเชื่อกันว่าทรงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของฝรั่งเศสมากเป็นพิเศษ เนื่องจากทรงต้องการให้ฝรั่งเศสสนใจประเทศไทยเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับฮอลันดาซึ่งขัดแย้งในผลประโยชน์ทางการค้ากับไทย อันเป็นภัยคุกคามต่อเอกราชของประเทศไทยในขณะนั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงใช้วิธีสร้างดุลทางการทูตกับประเทศตะวันตก โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย นอกจากนี้ยังจ้างชาวอเมริกันมาเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยโดยทรงเห็นว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับประเทศไทย เป็นต้น
(2) การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การที่คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาไทยและนับถือศาสนาพุทธ อยู่ร่วมกันอย่างสันติกับคนไทยส่วนน้อยที่พูดภาษาอื่นและนับถือศาสนาอื่น รวมทั้งพระมหากษัตริย์ของไทยแม้จะทรงเป็นพระพุทธมามกะ แต่ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์แก่ศาสนาอื่นที่ประชาชนนับถือทุกศาสนา ทำให้ประเทศไทยไม่มีปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาที่ต่างประเทศอาจยกมาเป็นข้ออ้างในการโจมตีได้
(3) ที่ตั้งภูมิศาสตร์ การที่ประเทศไทยไม่มีพรมแดนติดกับประเทศมหาอำนาจนั้นทำให้ไม่ถูกกดดันหรือมีความขัดแย้งกับประเทศมหาอำนาจโดยตรง ต่างกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า และเวียดนาม ที่มีพรมแดนติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องเผชิญกับการกดดันหรือถูกคุกคามจากจีนตลอดเวลา ซึ่งยากที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ ซึ่งปรากฏว่าทั้ง 2 ประเทศ ต่างถูกจีนรุกรานและยึดครองเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเวียดนามต้องตกเป็นประเทศราชของจีนนานเกือบหนึ่งพันปี นอกจากนี้ ดินแดนส่วนที่ติดกับทะเลและมหาสมุทรของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเส้นทางคมนาคมทางเรือของประเทศมหาอำนาจ เช่น โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา และอังกฤษ ซึ่งมหาอำนาจเหล่านั้นต้องการใช้ดินแดนเป็นที่จอดเรือหรือเก็บสินค้า ยังผลให้ประเทศดังที่กล่าวมาตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจดังกล่าวนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี
สำหรับประเทศไทยเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีผลดีต่อการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รัฐบาลไทยทุกคณะจึงไม่ยอมอนุญาตให้มีการขุดคลองคอคอดกระตามข้อเสนอของมหาอำนาจ เพื่อต้องการย่นระยะการเดินทางของเรือสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ตอนใต้ของไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเรือที่มหาอำนาจต้องการไว้ในครอบครอง เช่นเดียวกันกับคลองสุเอซและคลองปานามา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไทยสามารถใช้การฑูตรักษาดุลแห่งความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นไว้โดยไม่เสียเอกราช
2) ด้านความมั่นคงของชาติ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง มีการนำเอาหลักความมั่นคงร่วมกันมาบรรจุไว้เป็นหลักการขององค์การสหประชาชาติ มีผลผูกพันประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ต้องร่วมมือกับประเทศอื่นในการรักษาความมั่นคงของสมาชิกทุกประเทศให้พ้นจากการคุกคามของประเทศอื่น แต่หลังจากสหภาพโซเวียตยับยั้งไม่ให้องค์การสหประชาชาติปฏิบัติหน้าที่ตามอุดมคติของสหประชาชาติ เช่น คัดค้านการกระทำของสหประชาชาติในเกาหลี เป็นต้น ทำให้ไทยต้องหาวิธีการรักษาความมั่นคงของตนเอง โดยสนับสนุนนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอเมริกา ภายใต้องค์การร่วมป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้ไทยรู้สึกมีความมั่นคงปลอดภัยจากการรุกรานของคอมมิวนิสต์ แต่กลับทำให้ความมั่นคงภายในถูกคุกคามจากการบ่อนทำลายภายในเป็นอย่างมาก เพราะสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่างให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ส่งผลให้ พคท. ปฏิบัติการบ่อนทำลายความมั่นคงภายในประเทศได้มากขึ้นนับเป็นอันตรายต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลไทยในขณะนั้นจึงทบทวนนโยบายความมั่นคงของไทยซึ่งผูกพันกับสหรัฐอเมริกาอย่างเหนียวแน่นเสียใหม่ โดยเปิดความสัมพันธ์ทางการฑูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และผูกมิตรกับรัฐบาลใหม่ใน 3 ประเทศอินโดจีน ในปี พ.ศ. 2518 และ 2519 ตามลำดับ
เมื่อสงครามเย็นยุติลง สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศผู้นำโลกในระบบทุนนิยมแต่เพียงฝ่ายเดียวและหลังจากประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลจึงใช้นโยบายการรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบการป้องกันประเทศตามแนวทางการรักษาความมั่นคงสมบูรณ์แบบรวมทั้งสนับสนุนภารกิจในการรักษาสันติภาพในภูมิภาคภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า นโยบายต่างประเทศที่ผูกพันความมั่นคงของประเทศไว้กับสหรัฐอเมริกาและต่อต้านคอมมิวนิสต์นั้น ให้ประโยชน์ด้สนความมั่นคงแก่ประเทศไทยน้อยกว่านโยบายต่างประเทศที่มุ่งผูกมิตรและทุกประเทศ ไม่ว่าประเทศเหล่านั้นจะมีระบอบการเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นแนวนโยบายต่างประเทศที่ประเทศไทยเคยปฏิบัติอย่างได้ผลดีมาก่อน
3) ด้านเศรษฐกิจ การติดต่อกับต่างประเทศในสมัยอยุธยานั้นประเทศไทยให้ความสำคัญกับการค้าต่างประเทศเป็นพิเศษ ขณะที่ประเทศตะวันตกต้องขยายการค้ากับเอเชียตะวันออกและเผยแพร่คริสต์ศาสนามายังดินแดนแห่งนี้ ดังจะเห็นได้ว่าโปรตุเกส สเปน ฮอลันดา และฝรั่งเศส ได้เข้ามาตั้งสถานีการค้า รวมทั้งบาทหลวงและมิชชั่นนารีได้เผยแพร่ศาสนาในประเทศไทยโดยเสรี ซึ่งประเทศตะวันตกเหล่านี้ได้ยึดดินแดนของเอเชียเป็นอาณานิคมในเวลาต่อมา ประเทศไทยจึงหาวีการเอาใจประเทศเหล่านี้ด้วยการให้ประดยชน์ทางการค้าอย่างเสมอหน้ากัน เพื่อให้ประเทศเหล่านี้ช่วยป้องกันประเทศไทยไม่ให้ถูกรังแกจากประเทศตะวันตกด้วยกัน
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 รัฐบาลไทยได้ดำเนินโยบายต่างประเทศเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา โดยให้ประโยชน์ทางการค้าอย่างเสมอหน้ากัน เนื่องจากรัฐบาลมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมากกว่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการอนุญาตให้ต่างประเทศส่งสินค้าเข้ามาในประเทศโดยเสียภาษีอากรขาเข้าเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ผ้าของไทยจากอุตสาหกรรมครัวเรือนต้องล่มสลายไปเกือบทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถสู้ราคากับสินค้าผ้าราคาถูกจากโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศตะวันตกได้เลย
หลังจากที่ประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ได้เข้าร่วมในการประชุมและลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพที่พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2462 ส่งผลให้ประเทศไทยยกเลิกสิทธิสภาพอาณาเขตทางศาลและสิทธิทางการค้าที่ประเทศผู้แพ้ คือ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ได้รับตามสนธิสัญญาที่ทำไว้กับประเทศไทยเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี จึงเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกอื่น ๆ ยอมสละสิทธิพิเศษดังกล่าวที่ได้รับจากสนธิสัญญาที่ทำกับประเทศไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้ทั้งหมด เมื่อปี พ.ศ. 2470 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยจึงได้ใช้นโยบายต่างประเทศเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่าเทียมกับนานาอารยประเทศ เช่น การทำการค้ากับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกัน และการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับประเทศที่ให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน หรือการค้ากับประเทศไทยเป็นการตอบแทน โดยไม่ต้องให้สิทธิพิเศษนั้นแก่ประเทศอื่น รวมทั้งกำหนดภาษีศุลกากรให้สูงขึ้นเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ และคุ้มครองแก่อุตสาหกรรมภายในประเทศได้อย่างเต็มที่
หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลได้เร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เป็นลำดับแต่ภาวะเศรษฐกิจยังคงเปราะบาง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปัจจุบันได้ใช้นโยบายการพาณิชย์และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่มุ่งยกระดับนโยบายด้านการค้าต่างประเทศสู่การพัฒนาเครือข่ายการตลาดเข้าสู่ระดับโลก เพื่อให้สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันการณ์ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยผนึกและสอดรับเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกอันเข้มแข็งในโลกยุคไร้พรมแดน ด้วยนโยบายด้านการด้านการพาณิชย์ซึ่งเร่งผลักดันให้ภาคเอกชนพร้อมเผชิญการแข่งขันเสรีในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และพยายามให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าสินค้าและบริการในภูมิภาค และเป็นศูนย์กลางการแสดงสินค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศนั้นสนับสนุนการค้าเสรีในการค้าระหว่างประเทศ ด้วยบทบาทเชิงรุกในเวทีการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนนโยบายการค้าเสรีอาเซียน รวมทั้งส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายด้านการคลัง ด้วยการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีผลต่อการยกระดับรายได้ของประชากร ปรับปรุงระบบภาษีให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นภาคเศรษฐกิจจริงที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ รวมทั้งการบริหารการคลังอย่างมีเสถียรภาพและจะกู้เงินเฉพาะเพื่อการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสร้างฐานรายได้ให้แก่ประชาชนและภาคเอกชนเป็นหลัก
4) ด้านเกียรติภูมิ ประเทศไทยเป็นเอกราชมาช้านานถือว่าเอกราชและความมั่นคงของชาติเป็นผลประโยชน์สำคัญที่สุดที่จะต้องรักษา รัฐบาลไทยจึงยอมที่จะสละผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเกียรติภูมิ เพื่อรักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติไว้เสมอ นับตั้งแต่สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ซึ่งยอมเสียสละผลประโยชน์ทางการค้าและอธิปไตยทางศาล เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศตะวันตกคุกคามเอกราชของไทย จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยยินยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยเพื่อช่วยปกป้องความมั่นคงของไทย แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะถูกตำหนิจากเพื่อนบ้านว่าประเทศไทยเป็นสมุนของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น
หากแต่สถานการณ์บังคับให้รัฐบาลต้องตัดสินใจกระทำเพื่อรักษาเกียรติศักดิ์หรือเกียรติภูมิของชาติ แม้การกระทำนั้นจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงหรือเศรษฐกิจก็ตาม เช่น ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถยึกครองอินโดจีนได้ในปี พ.ศ. 2518 ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาต้องถอนทหารกลับประเทศ นอกจากรัฐลาบไทยจะปฎิเสธการย้ายทหารอเมริกันมาไว้ที่ประเทศไทยแล้ว ยังขอให้สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกจากประเทศไทยด้วย หลักจากนั้นรัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างอิสระ ด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์กับทุกประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของระบบเศรษฐกิจและการเมือง ยังผลให้เกียรติภูมิของประเทศสูงขึ้น จนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกไม่ประจำของคณะมนตรีแห่งสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ.2527
สำหรับนโยบายด้านการต่างประเทศในปัจจุบัน รัฐบาลได้เน้นการทูตเชิงรุกด้านเศรษฐกิจพร้อมกับการทูตด้านอื่น ๆ เพื่อฟื้นฟูและสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศในทุกด้านให้การคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งของภาคเอกชนไทย แรงงานไทยและคนไทยในต่างประเทศ ตลอดจนความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในภูมิภาคเอเชีย ทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อนำมาซึ่งความเข้าใจอันดีระหว่างกันในการแก้ไขปัญหาและการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ จริงใจและโดยสันติวิธี

6 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อาจารย์ครับผมขอของคุณอยางยิ่งสำหรับบทความที่ได้จากบล็อกของอาจารย์ในการเอามาทำรายงานซิ่งผมบอกได้เลยว่าดีมากๆเลย อาจารย์ครับผมขอให้อาจารย์ช่วยผมน้อยได้ปะครับ ผมทำรายงานหัวข้อเรี่อง "วิเคราะห์อิทธิผลของประเทศมหาอำนาจที่มีต่อการเมืองการปกครองของไทย" ขอความกรุณาจากอาจารย์ด้วยนะครับผมหาข้อมูลไม่ได้เลย โดยช่วยส่งมาที่ sovann_4_u@hotmail.com

ขอขอบคุณมากครับ

"วิเคราะห์อิทธิผลของประเทศมหาอำนาจที่มีต่อการเมืองการปกครองของไทย" กล่าวว่า...

อาจารย์ครับผมขอของคุณอยางยิ่งสำหรับบทความที่ได้จากบล็อกของอาจารย์ในการเอามาทำรายงานซิ่งผมบอกได้เลยว่าดีมากๆเลย อาจารย์ครับผมขอให้อาจารย์ช่วยผมน้อยได้ปะครับ ผมทำรายงานหัวข้อเรี่อง "วิเคราะห์อิทธิผลของประเทศมหาอำนาจที่มีต่อการเมืองการปกครองของไทย" ขอความกรุณาจากอาจารย์ด้วยนะครับผมหาข้อมูลไม่ได้เลย โดยช่วยส่งมาที่ sovann_4_u@hotmail.com

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายต่างประเทศมหาอำนาจสมัยสงครามโลก-สิ้นสุดสงครามเย็นพอจะมีมั้ยคะ เพราะต้องใช้ในการทำรายงานแต่หาไม่เจอขอความกรุณาด้วยนะคะ Gosix-fake@hotmail.com

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สวัดดีค่ะ อาจารย์ พอดีหนูอ่านบทความของอาจารย์แล้วนะค่ะ รู้สึกว่าโอเคมาก หนูจึงอยากขอความช่วยเหลือกับอาจารย์หน่อยอะค่ะ คือว่าหนูทำรายงานเรื่อง นโยบายอำนาจอธิปไตยอยู่ มันมีหัวข้อที่หนูยังทำไม่ได้อยู่ คือ
-การเเก้สัญญาสนธิไม่เสมอภาค
-การยกเลิกสัญญาไม่เสมอภาค
-ประเทศกับปัญหาเเมนจูเรีย
ขอช่วยด้วยนะค่ะอาจารย์ (อาจารย์ค๊าหนูขอที่มาด้วยนะค่ะพอดีอาจารย์ที่สอนเค้าให้หาที่มาเช่นหนังสือ ผู้แต่ง อะค่ะ)
ส่งมาที่ Kongbigbang@hotmail.com ขอบคุณค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ข้อมูลดีมากๆเลยค่ะ ขออ้างอิงหน่อยได้มั้ยค่ะ ส่งมาทางเมลล์ก็ได้ค่ะ b-m_bamboo@hotmail.com ขอบคุณคุ่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการต่อต้านทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างไร